Smart Indoor Farming | Smart Green House | Smart Farm | |
---|---|---|---|
มาตรฐานการปลูก | ดีที่สุด | ดี | พอใช้ |
การเพิ่มคุณค่าผลผลิต | สูงที่สุด | สูง | ปานกลาง |
ผลตอบแทนจากผลผลิต | สูงที่สุด | สูง | ปานกลาง |
ตารางเปรียบเทียบเทคโนโลยีการปลูกของ Farmdeal

1. Indoor Farming ระบบปลูกในร่มหรือในอาคาร
Indoor Farming คือ การปลูกโดยใช้หลอดไฟ LED ในย่านแสงที่เหมาะสมสำหรับการปลูกต้นไม้ ซึ่งการเลือกใช้หลอดไฟจะขึ้นอยู่กับชนิดพืช, ความต้องการแสงแดดในแต่ละสายพันธุ์ และขนาดพื้นที่ปลูก เป็นต้น
Farmdeal เลือกใช้เทคโนโลยีการปลูกแบบ Smart Indoor Farming ครบวงจร ได้แก่ ชั้นสำหรับปลูกพืช, ชุดหลอดไฟ LED, ระบบรดน้ำ, พัดลมหรือแอร์ระบายอากาศ เพิ่มระบบ Smart ด้วยการควบคุมการเปิด/ปิดไฟและการให้น้ำแบบอัตโนมัติ รวมถึงการใช้อุปกรณ์เซ็นเซอร์ชนิดต่างๆ วัดค่าสภาพแวดล้อมแบบ real-time (ค่าอุณหภูมิ, ความชื้นอากาศ, ความชื้นในดิน และค่า PPFD เป็นต้น) เพื่อควบคุมให้พืชเติบโตได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด
หมายเหตุ* Indoor Farming หรือ Urban Farming ไม่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดพื้นที่ปลูก ผู้ปลูกไม่จำเป็นต้องมีที่ดินหรือสวนขนาดใหญ่ แค่มีห้องเปล่าหรืออาคารในร่มที่ดัดแปลงให้เหมาะกับการปลูกพืชก็สามารถเป็นเกษตรกรได้เช่นกัน
มาตรฐานการปลูก: ควบคุมผลผลิตได้ดีที่สุด
ความสามารถในการเพิ่มคุณค่าผลผลิต: เพิ่มคุณค่าผลผลิตระดับสูงที่สุด
ผลตอบแทนจากผลผลิต: ผลตอบแทนสูงที่สุด
2. Smart Green House ระบบปลูกในโรงเรือน
Smart Green House คือ การปลูกพืชในพื้นที่ปิด โดยสร้างโรงเรือนขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมสภาพแวดล้อม เพิ่มระบบ Smart ด้วยการควบคุมการให้น้ำ หรือปุ๋ยน้ำแบบอัตโนมัติ และยังควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ในโรงเรือนได้ตามที่ต้องการ เกษตรกรสามารถตั้งค่าเวลาเปิดและปิดผ่านมือถือได้ ระบบแสดงค่าทุกอย่างผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ง่ายต่อการควบคุม
Farmdeal เลือกใช้เทคโนโลยีการปลูกในโรงเรือนแบบอัจฉริยะ เพราะว่า
- โรงเรือนสร้างผลผลิตได้ในทุกฤดูกาล ไม่ว่าฤดูไหนก็ปลูกพืชได้
- ควบคุม/สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช
- วางแผนการปลูกง่ายขึ้น
- ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคในพืช เพราะปลอดภัยจากสัตว์ หรือแมลงศัตรูต่อพืช
ใช้สารเคมีในการปลูกน้อยลง
- ดูแลและควบคุมปริมาณน้ำได้ตามความเหมาะสมของพืชแต่ละชนิด
- ประหยัดต้นทุนการดูแลพืช เพราะช่วยลดจำนวนแรงงาน และประหยัดน้ำได้ถึง 40%
- มีอุปกรณ์เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้นในอากาศ และเซ็นเซอร์อื่นๆ
ทำให้ทราบว่าช่วงไหนคือช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรดน้ำ
- ระบบแม่นยำช่วยดูแลผลผลิตให้มีมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มราคาผลผลิต
ทำให้คืนทุนได้เร็วขึ้นเฉลี่ย 30%
- มีระบบบันทึกค่า และ Report ค่าตัวเลข มีผลต่อการพัฒนาและต่อยอดธุรกิจ
มาตรฐานการปลูก: ควบคุมผลผลิตได้ดี
ความสามารถในการเพิ่มคุณค่าผลผลิต: เพิ่มคุณค่าผลผลิตระดับสูง
ผลตอบแทนจากผลผลิต: ผลตอบแทนสูง


3. Smart Farm ระบบปลูกแบบเปิด
Smart Farm คือ การปลูกพืชในพื้นที่เปิดทั่วไป นับว่าเป็นเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานของเกษตรอัจฉริยะ โดยปลูกตามสภาพแวดล้อมจริงในแต่ละพื้นที่ แต่ระบบอัจฉริยะทำให้เกษตรกรสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ผ่านการใช้ระบบควบคุมการให้น้ำ หรือปุ๋ยน้ำได้ตามที่พืชแต่ละชนิดต้องการ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น สามารถในการควบคุมได้ง่ายผ่านมือถือ หรือระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
Farmdeal เลือกใช้เทคโนโลยีการปลูกในพื้นที่เปิดแบบอัจฉริยะ เพราะว่า
- เกษตรกรทุกคนไม่ได้มีต้นทุนมากพอสำหรับการสร้างโรงเรือน หรือลงทุนในระบบปิด
แต่ระบบอัจฉริยะนี้ช่วยให้พวกเขาลดต้นทุนได้ในระยะยาว (ประหยัดต้นทุนการปลูกได้สูงสุด
40%)
และสามารถนำเงินที่ประหยัดไปได้นั้น เพื่อไปพัฒนาต่อยอดสวนของตนเอง
หรือนำไปลงทุนในระบบการปลูกรูปแบบอื่นๆ ที่ดีกว่า
- ดูแลและควบคุมปริมาณน้ำได้ตามความเหมาะสมของพืชแต่ละชนิด
- มีอุปกรณ์เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้นในอากาศ และเซ็นเซอร์อื่นๆ
ช่วยให้ทราบว่าช่วงไหนคือช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรดน้ำ
- มีระบบบันทึกค่า และ Report ค่าตัวเลข มีผลต่อการพัฒนาฟาร์ม
มาตรฐานการปลูก: ควบคุมผลผลิตได้พอใช้
ความสามารถในการเพิ่มคุณค่าผลผลิต: เพิ่มคุณค่าผลผลิตระดับปานกลาง
ผลตอบแทนจากผลผลิต: ผลตอบแทนปานกลาง